หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เนื้องอกในช่องท้องกับน้ำดื่มแอคทิเวท


การเติบโตของลูกน้อยอย่างแข็งแรงในแต่ละวันนับเป็นความคาดหวังสูงสุดของผู้ที่เป็นแม่ และพ่ออย่างมาก คราใดที่ลูกเจ็บป่วยไม่ต้องกล่าวเกินเลยไปถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ ดวงใจของพ่อแม่ก็แทบสลาย 

แต่การที่ลูกจะมีสุขภาพดี และแข็งแรงนั้นก็ไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับเด็กทุกคน เช่นเดียวกับน้องแอมป์ลูกสาวคนเล็กของคุณยุพาพร เด็กน้อยคนนี้เพิ่งมีอายุเพียงสองขวบเศษเท่านั้น ก็ต้องเผชิญกับโรคร้าย ป่วยเป็นเนื้องอกในช่องท้อง    

“คืนหนึ่งน้องแอมป์เกิดมีไข้สูงถึง 38-40 องศา ต้องพาส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2554 ก่อนหน้านี้มีอาการท้องป่อง ปวดท้องอย่างมาก ถ่ายไม่ออก และอุจจาระแข็ง หมอจึงสั่งให้เจาะเลือด เจาะไขสันหลัง เพื่อตรวจหามะเร็งและนำเลือดไปตรวจที่ห้องแล็ป” 

“นอกจากนี้ยังตรวจพบเนื้องอกในช่องท้องของน้องแอมป์ ที่มีความยาวประมาณ 8 เซนติเมตร กว้าง 5 เซนติเมตร จึงต้องกรีดหน้าท้องเพื่อนำชิ้นเนื้อในท้องส่งตรวจเพื่อหาความแน่นอน พร้อมๆ กันนั้นหมอก็แจ้งกับคุณยุพาพร ผู้เป็นแม่ให้เผื่อใจเอาไว้ว่าชิ้นเนื้อที่นำไปตรวจนั้น อาจเป็นเนื้อร้าย 80% สิ้นเสียงหมอราวกับฟ้าผ่าตรงกลางใจของคนเป็นแม่”

“ดิฉันพยักหน้าแล้วเอาลูกมากอดไว้ที่อก ลูกก็กอดแม่เอาหน้าซบไหล่ ได้แต่พูดในใจว่าลูกยังเล็กนักเกิดมาได้ 1 ปี 6 เดือน ต้องจากกันแล้วเหรอ แล้วบอกกับตัวเองว่าน้องแอมป์ยังตายไม่ได้แม่จะทำทุกอย่างเพื่อขอชีวิตของลูกไว้ เมื่อถึงที่พักก็ไม่พูดกับใครได้แต่สวดมนต์จนพ่อของน้องแอมป์โทรมาหาดิฉัน ดิฉันพูดไปร้องไห้ไปจนปวดหัว พ่อน้องแอมป์บอกว่าอย่างไรก็ต้องรักษา”   

ผลการตรวจจากห้องแล็ปออกมาในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ปรากฏว่าชิ้นเนื้อที่นำไปตรวจนั้นไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ก็ต้องรีบทำการรักษาด้วยการให้คีโม 

“การให้คีโมครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม ทำให้เส้นของน้องแอมป์ระเบิด มีไข้ และเกล็ดเลือดต่ำ หมอให้ตรวจสแกนกระดูก เมื่อกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน ดิฉันกับสามี ต้องช่วยกันฉีดยาละลายลิ่มเลือดให้ลูกทุกวัน ลูกก็ยังต้องกินยาลดความดันสูงทุกวัน” 

“ช่วงที่ให้คีโมผิวพรรณของน้องแอมป์เริ่มคล้ำ เล็บมือและเล็บเท้าก็ดำคล้ำ ปากซีด หน้าเซียว ผมก็คล้ายกับต้นหญ้าแห้งไหม้ ผิวเหี่ยว เวลาเดินก็ไม่มีแรง กินอาหารได้น้อยลง และเขาจะ ร้องไห้กลัวคนแปลกหน้า โดยเฉพาะหมอและนางพยาบาล”     

แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติของครอบครัว แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ พอให้ทุกคนในบ้านมีกำลังใจขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย เมื่อเพื่อนข้างบ้านแนะนำน้ำแอคทิเวท ให้กับน้องแอมป์ได้ลองดื่ม 

“หลานของเพื่อนบ้านคนนี้ก็ป่วยเป็นโรค SLE และได้นำน้ำแอคทิเวท มาดื่มและใช้อาบน้ำ ปรากฏว่าหลานมีอาการดีขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจให้น้องแอมป์ดื่มน้ำแอคทิเวท ควบคู่ไปกับการรักษา ตั้งแต่ตอนให้คีโมครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2554”  

“ดิฉันยังให้ลูกดื่มน้ำแอคทิเวท ควบคู่กับการให้คีโมโดยไม่ให้ดื่มน้ำอื่นเลย และต่อมาทุกครั้ง ที่จะทำการให้คีโมก็จะต้องเจาะเลือดทุกครั้ง ผลเลือดออกมาว่าเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติดี ไม่ต้องให้ยาเสริมใดๆ เลย นอกจากนี้ดิฉันยังดีใจอย่างมากเมื่อผลการเอ็กซเรย์ และ การสแกนกระดูกเป็นปกติ” 

ผลการเอ็กซเรย์ CT สแกน หรือคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงครั้งที่สองทำหลังจากครั้งแรก 6 สัปดาห์ ครั้งนี้ผ่านการให้คีโมครั้งที่ 1 และให้น้องแอมป์ดื่มน้ำแอคทิเวท ไปแล้ว พบว่าเนื้องอกในท้องลดลงจากประมาณ 8 เซนติเมตร เหลือ 6 เซนติเมตร 

ผลการเอ็กซเรย์ CT สแกนครั้งที่สาม หลังจากครั้งที่สอง 12 สัปดาห์ เนื้องอกในท้องลดลงเหลือประมาณ 3 เซนติเมตร

ผลการเอ็กซเรย์ CT สแกนครั้งที่สี่ หลังจากครั้งที่สาม 16 สัปดาห์ กำลังรอผลจากคุณหมอเพื่อรอการผ่าตัดเอาเนื้องอกออกให้หมด 

“น้องแอมป์มีผื่นขึ้นใบหน้าคล้ายกับกลากน้ำนมขึ้นที่แก้ม บางครั้งกินขนมแล้วเปื้อนหน้ามีเม็ดขึ้น ดิฉันก็นำเอาผ้าชุบน้ำแอคทิเวท มาเช็ดหน้าให้เขา เม็ดต่างๆ และผื่นก็ค่อยๆ ยุบลงโดยที่ไม่ต้องทายา”  

“ทุกวันนี้น้องแอมป์เหมือนคนปกติไม่เหมือนคนป่วย เป็นเด็กสดใส อารมณ์ดี จึงเชื่อว่าน้ำแอคทิเวท มีผลต่อการรักษาโรคในช่องท้องของน้องแอมป์”

“ก่อนหน้านี้ลูกชายคนโตเป็นหวัดบ่อย ต้องไปหาหมอทุกอาทิตย์ ทุกวันนี้ก็ให้ลูกนำน้ำแอคทิเวท ไปดื่มที่โรงเรียนด้วยทุกวัน ดิฉันสบายใจมากเพราะเขาไม่ต้องไปหาหมออีกแล้ว”

วันนี้บ้านคุณยุพาพรเป็นครอบครัวน้ำแอคทิเวท เพราะดื่มทั้งครอบครัว
“มีอยู่ครั้งหนึ่งพริกกระเด็นเข้าตาแสบมาก ดิฉันจึงลืมตาในน้ำแอคทิเวท ปรากฏว่าหายแสบสนิทจริงๆ”

“ไม้ดัดหน้าบ้านเหมือนมันกำลังจะตายใบเหี่ยวและเริ่มเหลือง เอาน้ำแอคทิเวท ไปรด 2-3 ครั้ง รู้สึกว่าต้นไม้ฟื้นและเขียวสดใสขึ้นมา”


ผู้เล่าเรื่อง ยุพาพร
อาชีพ แม่บ้าน